2.1ลักษณะทั่วไปของนิติกรรม
การกระทำที่จะเป็นนิติกรรมจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 5 ประการ
1. นิติกรรมต้องเริ่มจากการกระทำของบุคคลโดยการแสดง เจตนา
2. การแสดงเจตนาต้องชอบด้วยกฎหมาย
3. การแสดงเจตนาทำโดยสมัครใจ
4. ผู้แสดงเจตนามุ่งโดยตรงที่จะก่อให้เกิดความผูกพันตาม กฎหมาย (นิติสัมพันธ์) ตามที่แสดงเจตนาออกมา
5. มีการเคลื่อนไหวในสิทธิคือ เป็นการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับสิทธิ
1. นิติกรรมต้องเริ่มจากการกระทำของบุคคลโดยการแสดง เจตนา
2. การแสดงเจตนาต้องชอบด้วยกฎหมาย
3. การแสดงเจตนาทำโดยสมัครใจ
4. ผู้แสดงเจตนามุ่งโดยตรงที่จะก่อให้เกิดความผูกพันตาม กฎหมาย (นิติสัมพันธ์) ตามที่แสดงเจตนาออกมา
5. มีการเคลื่อนไหวในสิทธิคือ เป็นการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับสิทธิ
2.2 ความสามารถของบุคคลในการทำนิติกรรม
บุคคล หมายถึง
สิ่งที่สามารถมีสิทธิและหน้าที่ได้ตามกฎหมาย
ดังนั้นโดยหลักแล้วบุคคลย่อมมีความสามารถในการทำนิติกรรมได้ทั้งสิ้น เว้นแต่บุคคลนั้นจะเป็นผู้หย่อนความสามารถหรือกฎหมายจำกัดความสามารถในการทำนิติกรรมไว้
ทั้งนี้เพื่อช่วยเหลือคุ้มครองผลประโยชน์ของบุคลเหล่านั้น
ผู้หย่อนความสามารถ
หมายถึงบุคคลดังต่อไปนี้
1. ผู้เยาว์
หมายถึง
บุคคลซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย
ซึ่งบุคคลจะบรรลุนิติภาวะได้
มีเงื่อนไขดังนี้
ก. อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์
ข. ทำการสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย
ซึ่งการสมรสตามกฎหมายนั้นจะทำได้เมื่อชายและหญิงมีอายุ 17
ปีบริบูรณ์
โดยได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมของทั้งสองฝ่าย หรือหากมีอายุน้อยกว่า 17
ปี
หากมีเหตุสมควรและมีดุลพินิจของศาลอนุญาตให้สมรสได้ บุคคลดังกล่าวนั้นจะกลายเป็นบุคคลผู้บรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย แม้ต่อมาหย่าขาดจากกันขณะอายุยังไม่ถึง 20 ปี
ก็ยังคงเป็นบุคคลผู้บรรลุนิติภาวะเช่นเดิม
2.
คนไร้ความสามารถ หมายถึง
คนวิกลจริตที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ และตั้งผู้อนุบาลเป็นผู้ดูแลคนไร้ความสามารถ การทำนิติกรรมของคนไร้ความสามารถนั้น
คนไร้ความสามารถจะทำนิติกรรมโดยลำพังไม่ได้
หรือทำโดยได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลไม่ได้มิฉะนั้นนิติกรรมจะตกเป็นโมฆียะ
3. คนเสมือนไร้ความสามารถ
หมายถึง คนที่ไม่ถึงกับวิกลจริต
แต่มีเหตุบกพร่องบางประการไม่สามารถจัดการงานของตนได้ ศาลจึงตั้งผู้ดูแลคนเสมือนไร้ความสามารถ เรียกว่า
ผู้พิทักษ์
การทำนิติกรรม
โดยหลักคนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมได้โดยลำพัง ไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ แต่มีข้อยกเว้นในการทำนิติกรรมบางประเภทเท่านั้นที่กฎหมายกำหนดให้คนเสมือนไร้ความสามารถต้องได้รับความคุ้มครองและช่วยเหลือโดยต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ หากฝ่าฝืนนิติกรรมตกเป็นโมฆียะ เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน นำทรัพย์สินไปลงทุนการรับประกัน การให้โดยเสน่หา การเสนอคดีต่อศาล หรือการดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ เป็นต้น
4. คู่สมรส
หมายความ ถึงสามีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายโดยหลักแล้วคู่สมรสฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสามารถทำนิติกรรมโดยลำพังตนเองได้ไม่ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมสรอีกฝ่ายหนึ่ง แต่มีข้อยกเว้นในการทำนิติกรรมบางประเภทเท่านั้นที่เกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินที่เป็นสินสมรส กฎหมายกำหนดให้การทำนิติกรรมนั้น ๆ
คู่สมรสโดยต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งก่อน หากฝ่าฝืนนิติกรรมตกเป็นโมฆียะเช่น ขาย
แลก เปลี่ยน ขายฝาก
ให้เช่าซื้อ จำนอง ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินกว่า 3
ปี ให้กู้ยืมเงินให้โดยเสน่หา ประนีประนอมยอมความหรือมอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย เป็นต้น
2.3 แบบแห่งนิติกรรม
แบบของนิติกรรมหรือกรอบพิธีภายนอกของนิติกรรมนั้น
โดยหลักแล้วแม้นิติกรรมจะสมบูรณ์เมื่อมีการแสดงเจตนาก็ตาม แต่การแสดงเจตนาอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ ต้องทำตามแบบหรือกรอบพิธีภายนอกของนิติกรรมเสียก่อน มิฉะนั้นมีผลเป็นโมฆะ อย่างไรก็ตามกฎหมายไม่ได้กำหนดแบบนิติกรรมในทุกเรื่อง หากนิติกรรมใดกฎหมายไม่ได้กำหนดแบบไว้ นิติกรรมนั้นอาจสมบูรณ์ได้เพียงการแสดงเจตนา
แบบของนิติกรรมที่กฎหมายกำหนดไว้นั้น สามารถแยกเป็น
4 ประเภทดังนี้
3.1
แบบที่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพบนักงานเจ้าหน้าที่เช่น สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์
หรือสังหาริมทรัพย์พิเศษซึ่งได้แก่เรือกำปั่นหรือเรือที่มีระวางตั้งแต่ 6
ตันขึ้นไป
เรือยนต์หรือเรือกลไฟมีระวางตั้งแต่
5 ตันขึ้นไป แพและสัตว์พาหนะ แลกเปลี่ยน ให้ จำนอง
เป็นต้น
กฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
3.2 แบบที่ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
แบบของนิติกรรมประเภทนี้กำหนดเพียงต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้นไม่ได้บังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือ เช่น
การจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัท
การจดทะเบียนสถานะของบุคคล
ได้แก่การเกิด การตาย การสมรส
การหย่า การรับรองบุตร การรับบุตรบุญธรรม
กฎหมายกำหนดให้ต้องไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
3.3
แบบที่ต้องทำเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
เช่น การทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองหรือแบบลับ
3.4
แบบที่ต้องทำเป็นหนังสือ
กล่าวคือต้องลงลายมือชื่อในหนังสือที่ทำนิติกรรม หนังสือนั้นจะทำเป็นภาษาต่างประเทศก็ได้ จะเขียนเองหรือพิมพ์ก็ได้
ส่วนลายมือชื่อนั้น
หากคู่กรณีต้องการใช้พิมพ์นิ้วมือ
หรือเป็นแกงไดตราประทับ
หรือเครื่องหมายอื่นทำนองเช่นว่านั้นแทนการลงลายมือชื่อ
หากมีพยานลงลายมือชื่อรับรองไว้ด้วยสองคนให้ถือเสมือนกับลงลายมือชื่อ
นิติกรรมที่ต้องทำเป็นหนังสือ เช่น สัญญาเช่าซื้อ หรือการทำพินัยกรรมแบบธรรมดา เป็นต้น
2.4 วัตถุประสงค์ของของนิติกรรม
หมายถึงประโยชน์อันเป็นผลสุดท้ายที่ผู้แสดงเจตนาทำนิติกรรมประสงค์จะให้เกิดหรือให้เป็นผลขึ้นมา เช่น
ทำสัญญาซื้อบ้านผู้ซื้อต้องการได้กรรมสิทธ์ในบ้านมาเป็นของตน ฝ่ายผู้ขายต้องการได้เงินจากการขายบ้าน เป็นต้น
แต่หากนิติกรรมนั้นมีวัตถุประสงค์ไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว นิติกรรมเป็นโมฆะ
วัตถุประสงค์ของนิติกรรมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมี 3
กรณีดังนี้
1.
นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย กล่าวคือมีกฎหมายห้ามไว้ไม่ให้กระทำ เช่น
การซื้อขายยาเสพติด
การจ้างฆ่าคน
การติดสินบนเจ้าพนักงาน
หรือการทำพินัยกรรมในกรณีที่อายุยังไม่ครบ 15 ปี เป็นต้น
2.
นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการพ้นวิสัย กล่าวคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้โดยแน่แท้ เช่น
ทำสัญญาซื้อม้าชื่อสิรินภา
แต่ม้าตัวดังกล่าวตายก่อนทำสัญญา
ถือว่าสัญญาซื้อขายม้ามีวัตถุประสงค์เป็นการพ้นวิสัย
หรือทำสัญญาว่าจะย้ายดอกอินทนนท์มาไว้ที่กรุงเทพฯ ถือเป็นเรื่องมีวัตถุประสงค์เป้ฯการพ้นวิสัยไม่อาจชำระหนี้ให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์นั้นได้
3.
นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศิลธรรมอันดีของประชาชน เช่น
รับจ้างเป็นชู้กับภรรยาของคนอื่น เป็นต้น
2.5 การแสดงเจตนาของผู้ทำนิติกรรม
ซึ่งโดยหลักทั่วไปของนิติกรรม ต้องเป็นการกระทำของบุคคลโดยมีการแสดงเจตนา
การแสดงเจตนาจะมีผลสมบูรณ์เมื่อการแสดงเจตนากับการแสดงออกเหมือนกัน
แต่ถ้าการแสดงออกไม่ตรงกับเจตนาที่แท้จริงที่มีอยู่ในใจอาจทำให้นิติกรรมนั้นมีผลเป็นโมฆะหรือโมฆียะได้แล้วแต่กรณี
ความบกพร่องของการแสดงเจตนาที่ทำให้นิติกรรมไม่สมบูรณ์มีดังนี้
1. การแสดงเจตนาซ่อนเร้น
หมายถึงการแสดงเจตนาหลอก
เพราะผู้แสดงเจตนาได้แสดงเจตนาออกมาเพียงหลอก ๆ ไม่ต้องการให้มีผลผูกพันจริงจังดังที่แสดงออกมานั้น กล่าวคือปากกับใจไม่ตรงกันผลของการแสดงเจตนาซ่อนเร้นนิติกรรมยังคงสมบูรณ์อยู่
คู่กรณีทั้งสองฝ่ายยังคงมีสิทธิและหน้าที่ตามนิติกรรมที่แสดงออกทุกอย่าง
เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รู้ถึงเจตนาอันแท้จริงในใจ จึงจะทำให้นิติกรรมที่แสดงออกมานั้นตกเป็นโมฆะ แต่หากข้อเท็จจริงเปลี่ยนไป นายไข่รู้ว่านายไก่มีเจตนาจะยืมเงิน และการซื้อขายบ้านนั้นทำเพื่อลวงเท่านั้น มีผลให้สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ
2. การแสดงเจตนา
หมายถึงคู่กรณีไม่มีเจตนาที่จะทำนิติกรรมกันจริง ๆ แต่ทำขึ้นเพื่อหลอกบุคคลภายนอก นิติกรรมที่เกิดจากเจตนาลวงตกเป็นโมฆะ แต่ห้ามยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกที่สุจริต และต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้น
3. นิติกรรมอำพราง
หมายถึงในระหว่างคู่กรณีจะมีการทำนิติกรรมขึ้นเป็น 2 ลักษณะ กล่าวคือ
นิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวงที่ทำขึ้นเพื่อลวงผู้อื่นให้เข้าใจว่าคู่กรณีได้ตกลงทำนิติกรรมลักษณะนี้กัน และอีกลักษณะคือ
นิติกรรมที่ถูกอำพรางอันเป็นนิติกรรมที่แท้จริงของคู่กรณีที่ปกปิดอำพรางไว้ไม่เปิดเผยให้ผู้อื่นรู้
ดังนั้นในระหว่างคู่กรณีจะต้องบังคับตามนิติกรรมที่ถูกอำพรางนี้ แต่อย่างไรก็ตามนิติกรรมอำพรางนั้น จะต้องทำให้ถูกต้องตาม “แบบ” ที่กฎหมายบังคับไว้ด้วย มิฉะนั้นนิติกรรมอำพรางนั้นย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น
โจทก์จดทะเบียนขายฝากที่ดินไว้กับจำเลยเป็นการอำพรางการจำนอง นิติกรรมฉบับแรกคือสัญญาขายฝากเป็นนิติกรรมเปิดเผย ย่อมตกเป็นโมฆะ เพราะว่าเป็นการแสดงเจตนาลวง
ส่วนนิติกรรมฉบับหลังคือสัญญาจำนองเป็นนิติกรรมอำพราง ในระหว่างคู่สัญญาต้องบังคับตามนิติกรรมอำพราง
คือสัญญาจำนองแต่ว่าการจำนองไม่ได้จดทะเบียนให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ จึงเรียกไม่ได้ว่าเป็นการจำนองแต่เป็นเพียงการกู้เงินโดยอาศัยเอกสารการขายฝากที่ดินที่ทำกันไว้ ณ
สำนักงานที่ดินเป็นสัญญากู้เงิน
4.ความสำคัญผิด
เป็นเรื่องการเข้าใจความจริงที่ไม่ถูกต้อง
กล่าวคือเหตุการณ์เป็นอย่างหนึ่งแต่เข้าใจว่าเป็นอีกอย่างหนึ่ง การสำคัญผิดที่ทำให้นิติกรรมไม่สมบูรณ์แบ่งได้เป็น
2 กรณีคือ
1) สำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม เป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญของนิติกรรมซึ่งมีผลทำให้นิติกรรมเป็นโมฆะ
2. นายหนึ่งส่งมอบนาฬิกาให้แก่นายสองโดยเจตนาจะฝากไว้ แต่นายสองสำคัญผิดว่านายหนึ่งให้โดยเสน่หา การให้ถือเป็นโมฆะ
3. นายเอกให้เงิน
10,000
บาทกับฝาแฝดชื่อนายใหญ่
ซึ่งนายเอกเชื่อว่าเป็นนายเล็กแฝดผู้น้อง
ถือเป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่เกี่ยวข้องในนิติกรรม การแสดงเจตนาของนายเอกเป็นโมฆะ
2) สำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน
เป็นความสำคัญผิดในมูลเหตุจูงใจให้ทำนิติกรรม
ซึ่งหากเป้ฯการสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์นั้นเป้ฯสาระสำคัญ จะมีผลในทางกฎหมายทำให้การแสดงเจตนานั้นเป็นโมฆียะ
5. การแสดงเจตนาเพราะเหตุกลฉ้อฉล กลฉ้อฉล
หมายถึง
การหลอกลวงให้เขาสำคัญผิด
ต่างกับสำคัญผิด
เนื่องจากสำคัญผิดเกิดขึ้นจากความนึกคิดของผู้แสดงเจตนาเอง
แต่กลฉ้อฉลเป็นเรื่องการสำคัญผิดซึ่งมิได้เกิดขึ้นจากความนึกคิดของผู้แสดงเจตนาเอง
หากเป็นเพราะมีบุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งอาจเป็นคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลภายนอกมาหลอกลวงให้สำคัญผิด ผลของการแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ
6. จากแสดงเจตนาเพราะเหตุข่มขู่ การข่มขู่
หมายถึง การทำให้กลัวภัยอันใดอันหนึ่ง
เพื่อให้เขาทำนิติกรรม ถ้าหากไม่ทำตามที่บอกจะได้รับภัยแต่หากการข่มขู่นั้นทำให้อีกฝ่ายหนึ่งกลัวเพราะเป็นสิทธิตามกฎหมาย หรือเพราะความนับถือยำเกรง
ไม่ถือเป็นการข่มขู่ เช่น ขู่ว่าจะฟ้องคดี
ขู่ว่าจะบอกเลิกสัญญาหรือเป็นความสัมพันธ์ที่ต้องเคารพยำเกรง เช่น
ลูกกับพ่อ ศิษย์กับอาจารย์ กรณีเหล่านี้ไม่ใช่การข่มขู่
2.6 ความสมบูรณ์แห่งนิติกรรม
การใดที่ถือว่าเป็นการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายที่จะมีผลทำให้นิติกรรมที่ทำขึ้นเกิดความไม่สมบูรณ์
การนั้นต้องมีเหตุต่าง ๆ เหล่านี้ซึ่งเกิดขึ้น ได้แก่
1. ความบกพร่องเกี่ยวกับความสามารถในการทำนิติกรรม ตามมาตรา
๑๕๓
2.
ความบกพร่องเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๑๕๐
3.
ความบกพร่องเกี่ยวกับนิติกรรมอันเป็นการแตกต่างจากบทบัญญัติของกฎหมาย
อันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ตามมาตรา ๑๕๑
4.
ความบกพร่องเกี่ยวกับแบบแห่งนิติกรรม ตามมาตรา ๑๕๒
5. ความบกพร่องของการแสดงเจตนาของบุคคลผู้ทำนิติกรรม
ตามมาตรา ๑๕๔-๑๖๗ล
2.7 ความไม่สมบูรณ์แห่งนิติกรรม
นิติกรรมที่ทำขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียว
นิติกรรมสองฝ่ายหรือนิติกรรมประเภทอื่นๆ ก็ตามหากเข้าหลักเกณฑ์ถูกต้องใน 4 ประการนี้คือ
วัตถุประสงค์แห่งนิติกรรม ความสามารถของบุคคลในการทำนิติกรรม แบบแห่งนิติกรรม และการแสดงเจตนาของผู้ทำนิติกรรม
นิติกรรมนั้นย่อมสมบูรณ์ใช้บังคับได้ตามกฎหมาย แต่ถ้านิติกรรมนั้นไม่ถูกต้อง หรือ บกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่งใน 4
ประการ ดังกล่าวข้างต้น นิติกรรมนั้นก็ไม่สมบูรณ์
ความไม่สมบูรณ์จะมีผลในกฎหมาย 2 ประการ คือ
1. มีผลเป็นโมฆะ หรือ
2. มีผลเป็นโมฆียะ
1. มีผลเป็นโมฆะ หรือ
2. มีผลเป็นโมฆียะ
โดยทางที่คุณทำงาน?คณบดี? ตัวอย่างเช่นฉันอยากรู้จริงๆแล้วเนี่ย ฉันขอแนะนำเว็บไซต์ https://topbrokers.com/th/forex-promotions/bonus อยู่ที่ไหนฉันสามารถหาหลายข้อมูลที่มีประโยชน์เกี่ยวกับการทำเงินในโลกออนไลน์แล้วมันจะช่วยฉันมากมายในอนาคต
ตอบลบ